โดยทั่วไป การเน้นเสียงในแต่ละคำจะต่างกัน ต้องค่อย ๆ จำไปทีละคำ การเรียนรู้การเน้นเสียง จึงจำเป็นต้องฝึกหูให้สามารถฟังแกนเสียงในแต่ละคำได้ 。
แต่ในบางกรณีก็สามารถคาดคะเนได้ว่า แกนเสียงจะอยู่ในตำแหน่งใด เช่น การเน้นเสียงในคำยืมจากภาษาต่างประเทศ ซึ่งมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในระดับหนึ่ง หากจำกฎนั้นได้ ก็จะพอคาดคะเนล่วงหน้าได้ และเรียนรู้ได้ไม่ยาก ส่วนคำที่ไม่เข้ากฎ ก็ค่อยจำเป็นข้อยกเว้นไป
คำยืมจากภาษาต่างประเทศ ปกติ จะมีแกนเสียงอยู่ที่พยางค์ที่ 3 นับจากท้ายคำ(ตัวอย่างเช่น:「サラダ」、「バナナ」、「ミルク」、「クラス」、「テニス」、「ゴルフ」、「ホテル」、「カナダ」、「インド」、「ドイツ」、「ハワイ」、「ローマ」、「プール」、「ノック」、「アタック」、「ハンドバッグ」「オレンジ」、「アパート」、「スカート」、「チョコレート」、「アイスクリーム」、「インドネシア」、「オーストラリア」)
แต่กรณีที่ พยางค์ที่ 3 นับจากท้ายคำเป็นพยางค์พิเศษ ได้แก่(「ッ」・「ン」・「ー」หรือสระตัวที่ 2 ในสระซ้อน) แกนเสียงจะเลื่อนไปข้างหน้า 1 ตำแหน่ง(ตัวอย่างเช่น:「サッカー」、「キャンパス」、「スーパー」、「セーター」、「エレベーター」、「タイトル」)
คำที่เดิมมีเพียง 2 พยางค์ จะไม่มีพยางค์ที่ 3 นับจากท้าย ดังนั้นแกนเสียงจะอยู่ที่พยางค์ที่ 2 นับจากท้ายคำ(หมายความว่า เป็นการเน้นเสียงแบบหัวสูง)(ตัวอย่างเช่น:「ドア」、「バス」、「ガス」、「ベル」、「パイ」、「ピン」)
คำศัพท์ที่เข้ามาในภาษาญี่ปุ่นนานแล้วและใช้อยู่เป็นประจำ มีแนวโน้มที่จะมีรูปแบบการเน้นเสียงเป็นแบบเสียงเรียบ(ตัวอย่างเช่น :「ピアノ」、「ガラス」、「コップ」、「アメリカ」、「テーブル」、「ボールペン」)
นอกจากนี้ ในหมู่วัยรุ่นมีแนวโน้มที่จะออกเสียงคำนามเป็นแบบเสียงเรียบ ซึ่งก็พบในการเน้นเสียงคำยืมจากภาษาต่างประเทศด้วย ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นคำที่ตามหลักมีรูปแบบการเน้นเสียงแบบที่ 3 (มีแกนเสียงอยู่ที่พยางค์ที่ 3 นับจากท้ายคำ กรณีที่แกนเสียงเป็นพยางค์พิเศษ แกนเสียงจะเลื่อนไปข้างหน้า 1 ตำแหน่ง)(ตัวอย่างเช่น: 「ドラマ」、 「クラブ」、 「ネット」、 「パーティー」、 「スニーカー」、 「デザイナー」)
นอกจากนี้ บางคำก็มีการเน้นเสียงโดยยึดรูปแบบเสียงในภาษาดั้งเดิม(ตัวอย่างเช่น:「ネクタイ」、「タクシー」、「パイロット」、「アクセント」、「レストラン」、「ハイキング」、「パンフレット」、「プレゼント」